ซึ่งทีมงานไทยPBS และแฟนรายมีโปรแกรมท่องเที่ยวในจังหวัดสุรินทร์ 2 วัน 1 คืน ในวันแรกเวลา 14.00 น.ททท.สำนักงานสุรินทร์ ได้นำคณะเดินทางไปเที่ยวชมผ้าไหมยกทอง ที่บ้านท่าสว่าง สำหรับกลุ่มผ้าไหมยกทองจันทร์โสมา ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ ๑ บ้านท่าสว่าง ตำบลท่าสว่าง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการอนุรักษ์ และฟื้นฟูการทอผ้ายกทองขั้นสูงแบบราชสำนักไทยโบราณ ด้วยการออกแบบลวดลายที่สลับซับซ้อน งดงามและศักดิ์สิทธิ์ จนกลายเป็นผ้าทอที่มีความงดงามอย่างมหัศจรรย์ และมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ผลงานที่โดดเด่นของที่นี่คือการได้รับการคัดเลือกจากรัฐบาล
ให้ทอผ้าสำหรับตัดเสื้อผู้นำและผ้าคลุมไหล่สำหรับคู่สมรสผู้นำ ๒๑ เขตเศรษฐกิจที่มาร่วมประชุมผู้นำเอเปกเมื่อปลายปี ๒๕๔๖ ความโดดเด่นของผ้าไหมยกทอง "จันทร์โสมา" เกิดจากการเลือกเส้นไหมน้อยที่เล็กและบางเบานำมาผ่านกรรมวิธีฟอก ต้มแล้วย้อมสีธรรมชาติด้วยแม่สีหลักสามสีคือสีแดงจากครั่ง สีเหลืองจากแก่นแกแลและสีครามจากเมล็ดคราม สอดแทรกการยกดอกด้วยไหมทองที่ทำจากเงินแท้มารีดเป็นเส้นเล็ก ๆ ปั่นควบกับเส้นด้าย ใช้ตะกอเส้นพุ่งพิเศษที่ทำให้เกิดลายจำนวนตะกอมากกว่าร้อยตะกอ จนกระทั่งการวางกี่บนพื้นดินธรรมดามีความสูงไม่พอ ต้องขุดดินบริเวณนั้นให้เป็นหลุมลึกไป 2-3 เมตร เพื่อรองรับความยาวของตะกอที่ห้อยลงมาจากกี่ให้เป็นระเบียบ ให้คนสามารถอยู่ในหลุมเพื่อสอด
ตะกอไม้ได้ด้วย เนื่องจากไม้ตะกอมีจำนวนมาก จึงต้องใช้คนทอถึง 4-5 คน คือจะมีคนช่วยกตะกอ 2-3 คน คนสอดไม้ 1 คนและคนทออีก 1 คน และความซับซ้อนทางด้านเทคนิคการทอ จะได้ผลงานเพียงวันละ 6-7 เซนติเมตรเท่านั้น เวลา 16.00 น.ททท.สำนักงานสุรินทร์ ได้นำคณะเดินทางต่อไปชมวิถีชุมชนบ้านช่างปี่ บ้านช่างปี่ ตั้งอยู่หมู่ที่ 1 ตำบลช่างปี่เป็นชุมชนเก่าแก่ ดั่งเดิมของอำเภอศีขรภูมิ มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์คือ ปราสาทช่างปี่ สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมัน ที 7 และ ยังมีวัตถุโบราณที่ขุดพบในบริเวณปราสาทช่างปี่และในหมู่บ้านจำนวนมาก โดยเฉพาะเตาเผาหม้อดินโบราณ ซึ่งหม้อดินถือว่าเป็นเครื่องใช้ในครัวเรือนของคนในชุมชนนี้ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ดังนั้น คำว่า ช่างปี่ จึงมีความ
หมายว่า หม้อดิน และใช้เป็นชื่อของหมู่บ้านนี้จนถึงปัจจุบัน บ้านช่างปี่ อยู่ห่างจากตัวจังหวัดสุรินทร์ ไปทางทิศตะวันออก ตามเส้นทางหลวงหมายเลข 226ระยะทาง 23 กม.การเชื่อมโยงการท่องเที่ยว บ้านช่างปี่ ตำบลช่างปี่ สามารถเชื่อมโยงไปยังแหล่งท่องเที่ยวในอำเภอเดียวกัน เช่น ปราสาทศีขรภูมิ ชุมชนท่องเที่ยวโอท๊อปนวัตวิถีบ้านไทร ชุมชนท่องเที่ยวโอท๊อปนวัตวิถีบ้านสมบูรณ์ ชุมชนท่องเที่ยวโอท๊อปนวัตวิถีบ้านประทุน และชุมชนท่องเที่ยวอื่นๆต่างอำเภอและต่างจังหวัด ได้อย่างสะดวก เนื่องจากมีเส้นทางการคมนาคมที่สะดวกและเชื่อมโยงกันเป็นโครงข่ายกับแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆทั้งในและนอกจังหวัด ทำเลที่ตั้ง เป็นที่ราบลุ่ม เป็นแหล่ง ผลิตข้าวอินทรีย์และข้าวหอมมะลินิล ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์อาชีพของคนในชุมชน มีอาชีพหลักด้านการเกษตร และ อาชีพรองผลิตผ้าไหม อัตลักษณ์ชาวบ้านส่วนใหญ่สืบเชื้อสายชาติพันธุ์เขมร ภาษาในการสื่อสาร คือ ภาษาไทยสุรินทร์ซึ่งเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นของชุมชนแห่งนี้ เสน่ห์ชุมชนบ้านช่างปี่เป็นชุมชนเก่าแก่ จึงมีการสืบทอดประเพณีและวัฒนธรรมโบราณ เช่นประเพณีรำตรุษ แห่เทียนพรรษา มีการจัดงานประเพณีบวงสรวงปราสาทช่างปี่ทุกวันที่ 1 เมษายนของทุกปีเป็นงานประเพณีและเป็นเอกลักษณ์ของชุมชนแห่งนี้ นอกจากนี้ชุมชนแห่งนี้ยังเป็นศูนย์เรียนรู้อารยธรรมโบราณ โดยมีการรวบรวมวัตถุโบราณซึ่งได้รับ
อนุญาตจากกรมศิลปากรให้นำมาจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์ของชุมชน เป็นแหล่งเรียนรู้ของคนในชุมชน นักเรียน นักศึกษา และ นักท่องเที่ยว นอกจากนี้มนต์เสน่ห์อาหารถิ่นนักชิมจะได้ลิ้มลองอาหารสูตรเขมรโบราณต้นตำหรับหลากรสปรุงในภาชนะหม้อดินเผากินกับข้าวหอมมะลิอินทรีย์และข้าวหอมมะลินิลซึ่งหาลิ้มลองไม่ได้ในชุมชนอีสานใต้ จากศักยภาพดังกล่าว ประชาคมหมู่บ้านจึงเห็นพร้องต้องกันพัฒนาหมู่บ้านช่างปี่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในรูปแบบของชุมชนท่องเที่ยว
โอท๊อปนวัตวิถี ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจร่วมกันของคนในชุมชนและก่อให้เกิดความรัก ความสามัคคีของคนในชุมชนอย่างแน่นแคว้น โดยใช้ชื่ออันเป็นสโลแกนในการท่องเที่ยวว่า “ต้องมนต์เจียงแป็ย” วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 9.00 น.ททท.สำนักงานสุรินทร์ นำคณะเดินทางไปเที่ยวชมศูนย์เรียนรู้การเกษตรในพระดำริภายใต้การดูแลของ ‘โครงการเกษตรอทิตยาทร’ สำหรับซแรย์ อทิตยา เป็นแหล่งถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรไทย ที่น้อมนำแนวพระราชดำริ
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและหลักการทรงงานเรื่อง ‘บริการรวมที่จุดเดียว’ หรือ ‘One Stop Service’ ใน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาดำเนินงาน เน้นการพัฒนาเกษตรกรรุ่นเก่า ผลิตเกษตรกรรุ่นใหม่ให้เป็น Smart Farmer โดยปัจจุบันมีเกษตรกรเยาวชนผ่านการฝึกอบรม
ระยะสั้นจำนวน 6 รุ่น รวมจำนวน 295 คน ในส่วนของพื้นที่ ที่นี่ได้ออกแบบพื้นที่เพื่อใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และถ่ายทอดวิชาการทางการเกษตรตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ตลอดจนการพัฒนาให้เป็นแหล่งพักผ่อนและท่องเที่ยวทางธรรมชาติของชุมชนและพื้นที่ใกล้เคียงได้ใช้ประโยชน์
ร่วมกัน โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐ ปราชญ์ชาวบ้าน และภาคเอกชนในพื้นที่ และจากส่วนกลาง หลังจากได้เยี่ยมชมเสร็จสิ้นได้เดินทางต่อไปยังวัดบูรพาราม(วัดหลวงปู้ดูล)เพื่อกราบนมัสการ ขอพรจากพระธาตุของเกจิอาจารย์สายปฏิบัติ อธิพระธาตุของหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่ฝั่น แล้วเดินทางต่อไปยังจังหวัดบุรีรัมย์ต่อไป