จำนวนผู้เข้าชมวันนี้

วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2561

คาราวานพิชิต 20 จังหวัดภาคอีสาน แวะรับประทานอาหาร ณ หมู่บ้านช้างบ้านตากลาง แหล่งเรียนรู้วงจรชีวิตช้างเอเชีย ในระบบนิเวศวิทยาวัฒนธรรมลุ่มน้ำมูล จ.สุรินทร์

วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เวลา 14.00 น. ขบวนคาราวานพิชิต 20 จังหวัดภาคอีสาน ได้เดินทางมาถึงจังหวัดสุรินทร์ และแวะรับประทานอาหาร ณ หมู่บ้านช้างบ้านตากลาง แหล่งเรียนรู้วงจรชีวิตช้างเอเชีย ในระบบนิเวศวิทยาวัฒนธรรมลุ่มน้ำมูล หลังจากเข้าเยี่ยมชม"ปราสาทวัดสระกำแพงใหญ"ในจังหวัดศรีสะเกษ หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ได้มีกิจกรรมทำ"สังฆทานทำหลังช้าง"และถ่ายรูปร่วมกันก่อนจะ


เดินทางต่อไปยังจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อเยี่ยมสนามฟุตบอล"ช้างอารีน่า"ในเวลา 17.00 น.  สำหรับช้างนั้นเป็นสัตว์บกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก จัดอยู่ในประเภทสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในเอเชียกลาง เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นแหล่งกำเนิดของช้างเอเชีย (Elephas Maximus) สายพันธุ์ย่อยต่าง ๆ เช่น ช้างศรีลังกา (Elephant maximus maximus) ช้างอินเดีย (Elephant maximus Indicus) ช้างสุมาตรา (Elephant maximus sumatranus) และช้างแคระบอร์เนียว (Elephant maximus borneensis) ช้างเป็นสัตว์






ที่ฉลาดและแสนรู้ มีความผูกพันกับการดำรงชีวิตของคนมาเป็นเวลานานตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ช้างมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของคน ถือเป็นมรดกอันสูงค่ายิ่งที่แสดงออกให้เห็นทั้งทางพิธีกรรม ความผูกพันระหว่างคนกับช้าง ในฐานะที่เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว บริเวณสำนักสงฆ์ป่าอาเจียงในปัจจุบัน บ้านตากลาง-หนองบัว ตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ (อยู่ห่างจากศูนย์คชศึกษาประมาณ 1.5 กิโลเมตร) เดิมเป็นป่าช้าสาธารณะประโยชน์ ใช้


ฝังทั้งคนและช้างในหมู่บ้านใกล้เคียง ในอดีตบริเวณดังกล่าวช่วงตอนพลบค่ำเป็นบริเวณอาถรรพ์ที่คนทั่วไปไม่กล้าเดินผ่านในยามวิกาล ต่อมาในปี พ.ศ. 2505-2520 มีผู้คนเข้าไปถางป่าทำไร่ปอ มันสำปะหลัง บริเวณรอบป่าช้าและป่าภูดินทำให้พื้นที่ป่าลดลง ต่อมาในปี พ.ศ. 2535 มีการอุปสมบทหมู่และได้ปักกลดแผ่เมตตาพระที่อุปสมบทใหม่ในป่าช้าแห่งนี้เป็นเวลา 10 วัน ในปี พ.ศ. 2536 มีพระสงฆ์ที่บวชใหม่มาจำพรรษาประมาณ 10 รูป หลวงพ่อหาญ ปญฺญาธโร (พระครูสมุห์คำหาญ ปญฺญาธโร) ได้พา


ออกไปปักกรดถือธุดงค์กัมมัฏฐานอธิฐานจิตอยู่ในป่าช้างเป็นเวลา 3 เดือน ได้เห็นนิมิตเห็นคนเพื่อขอความช่วยเหลือ หลังจากออกพรรษา มีการล้างป่าช้าอุทิศส่วนกุศล ในปี พ.ศ. 2538 หลวงพ่อหาญ ปญฺญาธโร ได้ออกไปปักกลดจำพรรษาอีกครั้งหนึ่ง ในปี พ.ศ. 2540 ได้เกิดแนวคิดใหม่ว่า ป่าช้าคือสถานที่ฝังศพที่คนทั่วไปเกลียดและกลัว จึงได้พัฒนาให้เป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้วิถีชีวิตคนกับช้างและพระพุทธศาสนาให้ครบวงจรในสถานที่เดียวกัน ในปี พ.ศ. 2548 จึงได้ประสานงานให้ชุมชนบ้านหนองบัวขอ




อนุญาตสร้างวัดประจำหมู่บ้าน โดยอนุญาตใช้สถานที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าภูดิน สร้างให้เป็นวัดถูกต้องตามพระราชบัญญัติสงฆ์และกรมป่าไม้ต่อไป สุสานช้างเห็นอยู่ในปัจจุบัน เมื่อช้างเสียชีวิตเจ้าของช้างจะนำเอากระดูกช้างมาฝังไว้ที่สุสานช้าง จากนั้นได้นำเอากระดูกช้างจากการฝัง มาทำเป็นหลุมสุสานช้างให้อยู่ในป่าหรือบริเวณเดียวกัน โดยเน้นมุ่งสอนให้คนได้เห็นคุณค่าของช้างและคิดตอบแทนบุญคุณของช้างที่มีบทบาทและความสำคัญผูกพันกับพระพุทธศาสนามาตั้งแต่พุทธกาล มีความสำคัญต่อประเทศชาติบ้านเมือง แม้เพียงน้อยนิดในบั้นปลายชีวิตขอให้ได้กลับมาอยู่แหล่งที่เคยอยู่ก็พอใจ หลังจากนั้นได้


ไปปรึกษากับ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อัจฉรา ภาณุรัตน์ (อธิการบดีสถาบันราชภัฎสุรินทร์ในขณะนั้น) ท่านเห็นด้วยอย่างดียิ่ง หากทำได้ก็จะเป็นบุญกุศลของชุมชนและจังหวัดสุรินทร์ ตลอดทั้งประชาชนคนไทยทั่วประเทศ ในการดำเนินการค่อย ๆ ทำมาเรื่อย ๆ ตามกำลังทรัพย์ที่บังสุกลมาได้ถึง 42 หลุม ลักษณะของหลุมเป็นสี่เหลี่ยม ติดกระจกด้านบน มองเห็นโครงกระดูกช้าง แต่ไม่ปลอดภัยถูกลักขโมยเป็นประจำ จึงได้ออกแบบใหม่ สวมหมวกใบตาลปิดมิดชิด ซึ่งได้ความหมายและความสำคัญในอดีตระหว่างคนกับ


 ช้าง เมื่อช้างเสียชีวิตอยู่ต่างจังหวัด เจ้าของช้างจะใช้รถบรรทุกนำช้างกลับมาฝังที่สุสานช้างแห่งนี้และทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ แต่ยังมีเจ้าของช้างบางกลุ่มเมื่อเห็นช้างล้มตายก็จะฝังทิ้งเสียในบริเวณนั้น โดยไม่สนใจใยดีแต่อย่างใด ในปัจจุบันมีโครงกระดูกช้างที่เก็บเข้าหลุมแล้ว 85 เชือก และรวมกับที่ฝังไว้ในดินด้วยมีจำนวนมากกว่า 100 เชือก รอบบริเวณโครงการจะดำเนินการเก็บโครงกระดูกช้างที่สมบูรณ์ต่อประกอบไว้อย่างน้อย 4-5 เชือก พร้อมทั้งภาพประวัติช้างแต่ละเชือก รูปปั้นบุคคลสำคัญ ที่ได้รับ


ตำแหน่งหมอช้างสูงสุดไว้ใกล้กับศาลพระครูปะกำ เพื่อแสดงให้เห็นถึงมรดกอันล้ำค่า ภูมิปัญญาช้างของชาวกูยในอดีตจนถึงปัจจุบัน ตลอดจนปรับ ภูมิทัศน์ให้ดูสวยงามแบบธรรมชาติในระบบพึ่งพาและผูกพันระหว่างคนกับช้าง หมู่บ้าน วัด ศูนย์คชศึกษา โครงการคชอาณาจักรเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้วงจรชีวิตของช้าง  ...สุสานช้างได้มีการปรับปรุงภูมิทัศน์ ถมดิน ปลูกไม้ดอกไม้ประดับและหญ้า โดยโครงการคชอาณาจักร จ.สุรินทร์..."สุสานช้างแห่งนี้เกิดจากแนวคิดของพระครูสมุห์หาญ ปญฺญาธโร เจ้าอาวาสสำนักสงฆ์ป่าอาเจียง และ รศ.ดร.อัจฉรา ภาณุรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ นายเสนีย์ จิตต


เกษม รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ และนายอนันตพล บุญชู นายอำเภอท่าตูม (ในขณะนั้น) ตลอดจนผู้มีจิตศรัทธา สนับสนุนส่งเสริมโครงการนำช้างคืนถิ่น วันที่ 13 มีนาคม 2557 องค์การสวนสัตว์ในพระบรมราชูปถัมภ์ (อสส.) และโครงการคชอาณาจักรจังหวัดสุรินทร์ ได้เห็ฯความสำคัญของสุสานช้าง ได้ดำเนินการจัดสรรงบประมาณปรับปรุงภูมิทัศน์ โดยการถมดิน ปลูกหญ้า ปลูกไม้ดอกไม้ประดับ ...สุสานช้างจึงกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวมหัศจรรย์ลุ่มน้ำมูลตอนกลาง เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับนักเรียน นักศึกษา ประชาชนชาวไทยและต่างประเทศสืบไป