จำนวนผู้เข้าชมวันนี้

วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2561

‘พิพิธภัณฑ์เมืองอุดรธานี’ 1 ใน 7 เส้นทางหลักการท่องเที่ยวภาคอีสาน อีสานแซ่บนัว COOL ISAN "จากวิถี​ถิ่น สู่วิถี​เทรนด์"

วันที่ 23 ตุลาคม 2561 เวลา 10.00 น.นายสมชาย ชมภูน้อย ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน) นำคณะผู้ประกอบการ การท่องเที่ยว และสื่อมวลชน เดินทางลงพื้นที่สำรวจศักยภาพสินค้าและบริการ ในเส้นทางหลักการท่องเที่ยวภาคอีสาน ที่จังหวัดอุดรธานี นายสมชาย ชมภูน้อย กล่าวว่า ททท.ได้เผยแพร่ข่าวเพื่ิอกระตุ้นตลาดท่องเที่ยว ที่สามารถลดหย่อนภาษีภาคอีสานในช่วงเดือนตุลาคม 2561 กับเที่ยวปลายฝนต้นหนาว 7 เส้นทางท่องเที่ยวภาคอีสานแซ่บนัว COOL ISAN "จากวิถี​ถิ่น สู่วิถี​เทรนด์"


อันประกอบด้วย :
1.เส้นทางท่องเที่ยวสวยคลาสสิค (Romantic) เส้นทางท่องเที่ยวสำหรับ คู่รัก คนรู้ใจ เพื่อนๆ ทุกรุ่นทุกวัยเที่ยวในสไตล์สุดแสนโรแมนติกกับแหล่งท่องเที่ยววิวทิวทัศน์ ถ่ายรูปมุมเท่ๆ โรงแรมที่พักน่ารัก ตลอดจนร้านอาหาร ร้านกาแฟ สินค้าของที่ระลึกของฝากที่สวยงาม


2.เส้นทางท่องเที่ยวเรียบง่ายสบายๆ (Lifestyle)
ท่องเที่ยวเท่มีเสน่ห์สัมผัสกิจกรรมสันทนาการ ค้นหาประสบการณ์ความแปลกใหม่ ผ่านเรื่องราวเรื่องเล่าที่แตกต่าง ปัจจุบันชุมชนท้องถิ่นในชนบทกลาย เป็นเสน่ห์จุดขายที่น่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวต่างถิ่น เช่นอัตลักษณ์ของย่านชุมชน ร้านอาหาร ร้านกาแฟ สวนสาธารณะ ตลาดนัด ตลาดสด ตลาดเช้า ตลาดเย็น ตลาดกลางคืน และกิจกรรมต่างๆ เที่ยวสายกินชิมอาหารถิ่นอีกมากมาย


3.เส้นทางท่องเที่ยวพักผ่อน (Slow Life) การเที่ยวแบบปล่อยวาง ใช้ชีวิตแบบช้าๆ ปล่อยอารมณ์ให้ผ่อนคลายพักผ่อนกับสถานที่ที่ไม่วุ่นวาย ไม่ศิวิไลซ์ หรือความเจริญที่ไม่ทันสมัยอะไรมากนัก กลมกลืนไปกับวิถีชุมชนที่เรียบง่าย เงียบสงบ แบบมีเสน่ห์และเท่แบบมีสไตล์ หรือจะพบกับความสบาย เที่ยวสายบุญเข้าวัดสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์


4.เส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม (Culture)
การท่องเที่ยว กิจกรรม เทศกาลและงานประเพณี วิถีชีวิตวัฒนธรรม ฮีต12คอง14จารีตประเพณีของชาวอีสาน รวมถึงศิลปะวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ แหล่งท่องเที่ยวต่างๆทางโบราณคดี


5.เส้นทางท่องเที่ยวผจญภัยและกีฬา (Adventure & Sport) ท่องเที่ยวแบบ Adventure หรือรักการผจญภัย ชอบกิจกรรมสนุกสนาน ท้าทาย & ท่องเที่ยวไป เชียร์ไป ออกกำลังกายไป พักผ่อนไป ด้วยท่องเที่ยวสายกีฬา เช่น เล่นกอล์ฟ วิ่งมาราธอน จักรยาน พายเรือ แข่งรถ มวยไทย เป็นต้น


6.เส้นทางท่องเที่ยวบันเทิงและช้อปปิ้ง (Entertainment & shopping) แหล่งท่องเที่ยวกิจกรรม สถาบันเทิงต่างๆ การแสดงดนตรี สวนสนุก สวนน้ำ ย่านช้อปปิ้ง ย่านแฟชั่นห้างสรรพสินค้า ชุมชนท้องถิ่นขายของฝาก OTOP เป็นต้น


7.เส้นทางท่องเที่ยวมุมมองใหม่อีสานเหนือ-กลาง-ใต้ (Unseen) ท่องเที่ยวตามหาเรื่องราวเรื่องเล่า ย้อนรอยอดีตสู่ปัจจุบัน ทั้งอีสานเหนือ-กลาง-ใต้ ในมุมมองแปลกใหม่ใหญ่ดัง หรือ Unseen เช่น
- เส้นทางท่องเที่ยวอีสานเหนือเที่ยวตามรอยพญานาค
- เส้นทางท่องเที่ยวอีสานกลางเที่ยวตามรอยไดโนเสาร์ - เส้นทางท่องเที่ยวอีสายใต้เที่ยวตามรอยอารยธรรมอีสานใต้(ขอมโบราณ)


และงาน #บุญออกพรรษาภาคอีสาน ในเดือนสิบเอ็ด ตามฮีต12คอง14จารีตประเพณีชาวอีสาน ถือเป็นวันปวารณาออกพรรษา เป็นวันที่สำคัญทางพุทธศาสนาอีกวันหนึ่งในประเทศไทย นอกจากนี้ในภาคอีสานยังมีกิจกรรมเทศกาลงานประเพณีน่าสนใจและวิถีชุมชนอื่นๆอีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่น




-ประเพณีแห่ปราสาทผึ้ง จังหวัดสกลนคร (21-24 ตุลาคม 2561) -ประเพณีออกพรรษาไหลเรือไฟ จังหวัดนครพนม (17-25 ตุลาคม 2561) -ประเพณีบั้งไฟพญานาค จังหวัดหนองคาย (24 ตุลาคม 2561) -ประเพณีบุญกระธูปออกพรรษา จังหวัดชัยภูมิ (20-23 ตุลาคม 2561) -ประเพณีบุญจุดไฟตูมกา จังหวัดยโสธร (19-23 ตุลาคม 2561) เป็นต้น



หมายเหตุ : เที่ยวคุ้มใช้ใบเสร็จลดหย่อนภาษี กับการท่องเที่ยว 55 เมืองรอง หรือที่เรียกว่า “ค่าใช้จ่ายการเดินทางท่องเที่ยวจังหวัดท่องเที่ยวรอง" ใช้เป็นค่าลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาช่วงปลายปีนี้ได้ ตามที่จ่ายจริง ได้รับสิทธิ์สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท ซึ่งจะต้องเป็นการท่องเที่ยวในประเทศไทย เฉพาะพื้นที่ 55 จังหวัดที่รัฐบาลประกาศไว้ให้เป็นจังหวัดท่องเที่ยวรองตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 ธันวาคม 2561 ทั้งค่าบริการท่องเที่ยวมัคคุเทศก์ (ค่าแพ็คเกจทัวร์) ค่าที่พักในโรงแรม รีสอร์ท หรือโฮมสเตย์ เป็นต้น


สำหรับ‘พิพิธภัณฑ์เมืองอุดรธานี’ ซึ่งเปิดให้เข้าชมเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา หลังจากปิดซ่อมบูรณะครั้งใหญ่มากว่า 4 ปี สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในรัชกาลที่ 6 ทรงสนพระราชหฤทัยในการพัฒนาบทบาทสตรี และมีพระราชดำริว่าความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองย่อมต้องอาศัยการศึกษาเล่าเรียนที่ดี จึงพระราชทานพระราชทรัพย์สร้างโรงเรียนสตรีประจำภูมิภาคต่างๆ เช่น โรงเรียนราชินี, โรงเรียนราชินีบน, โรงเรียนทวีธาภิเศก, โรงเรียนเสาวภา (ปัจจุบันคือวิทยาลัย


อาชีวศึกษาเสาวภา), โรงเรียนแพทย์ผดุงครรภ์และหญิงพยาบาล (ปัจจุบันคือคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล), โรงเรียนวิเชียรมาตุและโรงเรียนสภาราชินี จังหวัดตรัง, โรงเรียนจอมสุรางค์อุปถัมภ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา, โรงเรียนราชินีบูรณะ จังหวัดนครปฐม, โรงเรียนศรียานุสรณ์ จังหวัดจันทบุรี และ‘โรงเรียนราชินูทิศ’ ก็คือหนึ่งในโรงเรียนที่ทรงตั้งพระราชหฤทัยให้เป็นโรงเรียนสตรีประจำมณฑลอุดร แต่ใน พ.ศ. 2462 พระองค์เสด็จสวรรคตเสียก่อน การดำเนินงานจึงจำต้องค้างมา ซึ่งตึกราชินูเก่า อาคารเรียนของโรงเรียนสตรีประจำมณฑลอุดรแห่งนี้ก็คืออาคารของพิพิธภัณฑ์เมืองอุดรธานีนั่นเอง

เวลาต่อมาพระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร (ศุข ดิษยบุตร) สมุหเทศาภิบาลมณฑลอุดร ผู้สำเร็จราชการมณฑลอุดร และคุณหญิงน้อม ดิษยบุตร (ศรีสุริยราช) เปิดโรงเรียนอุปถัมภ์นารี ซึ่งเป็นโรงเรียนสตรีขนาดเล็กภายในพื้นที่จวนเทศาภิบาลสำหรับกุลธิดาในมณฑล แล้วชักชวนข้าราชการพ่อค้าประชาชนชาวเมืองร่วมบริจาคทรัพย์สร้างอาคารเรียนอุปถัมภ์นารีใหม่น้อมเกล้าฯ ถวายเพื่ออุทิศเป็นพระราชกุศลแด่พระองค์ท่านและเมื่อ พ.ศ. 2463 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพิ่มเติม และพระราชทานนามโรงเรียนใหม่ว่า ‘ราชินูทิศ’ รวมถึงประกอบพิธีฝังรากศิลาจารึก

โรงเรียนขึ้นใน พ.ศ. 2464 โดยตัวอาคารสร้างอยู่บริเวณริมหนองประจักษ์ ใกล้กับโรงเรียนอุปถัมภ์นารีเดิม และเปิดใช้เป็นโรงเรียนสตรีประจำมณฑลอุดรตั้งแต่ พ.ศ. 2468 เป็นต้นมา ซึ่งเราจะพบอักษรพระปรมาภิไธยย่อ ‘ส.ผ.’ ของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง (เสาวภาผ่องศรี) ใต้ตราสัญลักษณ์รูปมงกุฎและอุณาโลมและข้อความ ’อาคารราชินูทิศ พระพุทธศักราช 2468’  บนหน้าจั่วอาคาร


ต่อมาในปีพุทธศักราช 2497 ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงครามและท่านผู้หญิงได้มาทำพิธีเปิดสมาคมส่งเสริมวัฒนธรรมหญิง จังหวัดอุดรธานี และใช้อาคารราชินูทิศเป็นสำนักงาน พอเห็นว่าอาคารหลังนี้เล็กอยู่ในทำเลที่ไม่เหมาะสมจึงอนุมัติให้สร้างโรงเรียนขึ้นใหม่ และย้ายโรงเรียนไปอยู่ที่สร้างใหม่ใน พ.ศ. 2503 กระทรวงศึกษาธิการมีการเริ่มโครงการพัฒนาการศึกษาส่วนภูมิภาค จึงโอนอาคารราชินูทิศนี้เป็นสำนักงานโครงการพัฒนาการศึกษาส่วนภูมิภาค และเมื่อมีการปรับปรุงกระทรวงทบวงกรมใหม่ใน พ.ศ. 2516 กระทรวงศึกษาธิการจึงใช้อาคารหลังนี้เป็นสำนักงานศึกษาธิการเขต เขตการศึกษา 9 โดยหน่วย


ศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา และเขตการศึกษา 9 ใช้อาคารเป็นสำนักงานร่วมกัน ภายหลังใน พ.ศ. 2538 สำนักงานศึกษาธิการเขต เขตการศึกษา 9 ย้ายไปปฏิบัติงานที่สำนักงานแห่งใหม่ จึงเหลือเฉพาะหน่วยศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา เขตการศึกษา 9 ที่ยังคงปฏิบัติงานต่อมาจนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2546 และกรมศิลปากรขึ้นทะเบียนอาคารหลังนี้เป็นโบราณสถานแห่งชาติเมื่อ พ.ศ. 2541



จังหวัดอุดรธานีใช้อาคารราชินูทิศจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์เมืองอุดรธานี โดยคณะกรรมการร่วมกันออกแบบปรับปรุงภูมิทัศน์ มีการจัดแสดงนิทรรศการในพิพิธภัณฑ์ตามห้องต่างๆ ทั้งหมด และทำพิธีเปิด พิพิธภัณฑ์เมืองอุดรธานี เพื่อให้การบริการแก่ประชาชนได้เข้าเยี่ยมชมนิทรรศการเมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2547 และในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2548 จังหวัดอุดรธานีได้มอบพิพิธภัณฑ์เมืองอุดรธานีให้อยู่ในความดูแลของเทศบาลนครอุดรธานี ที่มีความพร้อมในการจัดการให้หน่วยงาน สถาบันการศึกษา ภาครัฐ เอกชน ประชาชนทั่วไป เข้าเยี่ยมชม จนชาวอุดรธานีรู้จักพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ในนามแหล่งเรียนรู้ทาง


ประวัติศาสตร์ แต่เนื่องจากเป็นอาคารเก่าแก่อายุกว่า 90 ปี จึงมีสภาพทรุดโทรม เนื้อปูนแตกร้าว ไม้ผุพัง หากไม่ปรับปรุงซ่อมแซมอาจทำให้ผู้เข้าชมไม่ปลอดภัยและทำให้อาคารโบราณสถานแห่งชาติเสียหาย จนไม่สามารถใช้งานได้อีก เทศบาลนครอุดรธานีในสมัยของนายอิทธิพนธ์ ตรีวัฒนสุวรรณ และกรมศิลปากรจึงร่วมกันออกแบบเพื่อบูรณะอาคาร และออกแบบนิทรรศการภายในขึ้นใหม่ทั้งหมด โดยใช้เวลากว่า 4 ปีตั้งแต่เริ่มวางแผนการบูรณะ และเปิดให้ประชาชนได้เข้าชมไปแล้วเมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2561 ที่ผ่านมา รูปแบบของอาคาร อาคารราชินูทิศเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน 2 ชั้น สร้างด้วย


สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกตามความนิยมในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) เป็นอาคารแบบโคโลเนียล (Colonial) ที่เป็นการนำเอารูปแบบองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมคลาสสิกมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับภูมิอากาศเขตร้อน ตามที่ฝรั่งเศสนำมาใช้กับอาณานิคมอินโดจีน และได้รับความนิยมมาถึงทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงด้วยโดยช่างก่อสร้างชาวญวน ตัวอาคารหันหน้าอาคารไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ด้านหลังติดกับหนองประจักษ์ หนองน้ำขนาดใหญ่ ผังอาคารประกอบด้วยห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าจำนวน 2 หลังตั้งขนานกัน ด้านหน้าอาคารเชื่อมต่อกันคล้ายรูปตัวยู (U) มีมุขด้านหน้า


บริเวณกึ่งกลางอาคาร แสดงลักษณะการออกแบบที่เน้นความสมมาตร เพื่อสร้างความรู้สึกสง่างามแก่ตัวอาคาร ตัวอาคารทั้งชั้นบนและชั้นล่างมีระเบียงล้อมบริเวณด้านหน้าและด้านข้าง ช่วยป้องกันภายในอาคารจากแดดและฝน ตัวระเบียงถูกแบ่งออกเป็นส่วนเท่าๆ กันด้วยเสารูปทรงสี่เหลี่ยม ระหว่างช่วงเสามีพนักระเบียงราวลูกกรงปูนปั้น มีซุ้มโค้ง (Arch) ประดับหัวเสาแบบดอริก (Doric Capital) ตรงกึ่งกลางของซุ้มโค้ง (Keystone) ประดับด้วยบัวปูนปั้น ช่องหน้าต่างและซุ้มหน้าต่างเป็นรูปทรงโค้ง ที่มุขด้านหน้าอาคารใช้บานหน้าต่างบานเกล็ดไม้ ด้านบนเหนือบานหน้าต่างเป็นช่องแสงประดับกระจก ทำไม


พิพิธภัณฑ์เมืองอุดรธานีต้องเป็นสีเหลือง? จากกระบวนการการพิสูจน์สีพบว่า สีที่ใช้ในอาคารพิพิธภัณฑ์มีการทาทับซ้ำทั้งหมด 3 ครั้ง ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นการทาทับในช่วงการบูรณะในแต่ละยุค ที่ปรึกษาจากกรมศิลปากรให้ความเห็นเรื่องสีไว้ว่า สีที่จะใช้ทาในครั้งนี้ควรจะเป็นสีเดียวกับที่เคยทาในยุคแรก (ปีพุทธศักราช 2468) ทั้งหมด ซึ่งจากหลักฐานที่ปรากฏพบว่าผิวอาคารภายนอกในยุคแรกทาสีเหลืองทั้งอาคาร โดยไม่มีการตัดบัวหรือซุ้มโค้งเป็นสีขาวเหมือนที่พบเห็นและคุ้นตาในยุคปัจจุบัน




ส่วนผิวอาคารภายในนั้นพบว่ามีการทาสีทับ 3 – 4 ชั้นเช่นกัน ทีมบูรณะอาคารเข้าไปขูดสีจนถึงชั้นสีในสุดจนพบว่าผนังภายในเป็นสีฟ้าทั้งหมดทุกห้อง จึงส่งตัวอย่างสีภายนอกและภายในเข้าแล็บสี เพื่อปรุงสีให้ใกล้เคียงกับสีอาคารในยุคแรกมากที่สุดก่อนที่จะส่งมาทาอาคารอย่างที่เห็นในปัจจุบัน หลังจากคณะผู้ประกอบการ การท่องเที่ยว และสื่อมวลชนเยี่ยมชมเสร็จสิ้น ททท.ภูมิภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้นำคณะผู้ประกอบการ การท่องเที่ยว และสื่อมวลชนเดินทางกลับ