ด้านหน้า นอกกำแพงทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือปรากฏสระน้ำอยู่ ปราสาททั้งหมดสร้างด้วยศิลาแลง แต่ทับหลัง หน้าบันและเสากรอบประตูกลับใช้หินทรายและปรากฏภาพสลักอย่างงดงาม ภาพสลักบนหน้าบันของปราสาทประธานสลักภาพพระโพธิสัตว์อวโลกิเตสวร แต่ทับหลังสลักเป็นภาพพระพุทธรูป ส่วนหน้าบันของบรราลัยสลักภาพพุทธประวัติตอนเสด็จอกมหาภิเนษกรมณ์ การสลักรายละเอียดนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่า ช่างผู้สร้างปรางค์กู่มีความตั้งใจในการตกแต่งรายละเอียดเป็นพิเศษ แตกต่างไปจากอโรคยศาลหลังอื่นที่มักไม่ปรากฏภาพสลักตกแต่งใดๆสันนิษฐานว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 โปรดให้สร้าง
ปรางค์กู่ขึ้นระหว่าง พ.ศ. 1728-1763 เพื่อ อุทิศแก่พระพุทธเจ้าไภษัชยคุรุ พระพุทธเจ้าแห่งการแพทย์ พร้อมด้วยพระโพธิสัตว์ 2 พระองค์ เพื่อประทานความไม่มีโรคภัยแก่ประชาชนของพระองค์ “ปรางค์กู่คู่บ้าน สระกู่คู่เมือง ลือเลื่องวัฒนธรรม เลิศล้ำสามัคคี มีวงมโหรี ผลิตข้าวเกษตรอินทรีย์ ของดีหลวงปู่งาม” ปราสาทปรางค์กู่ ภาษากูยเรียกว่า “เถียด เซาะโก” เป็นสถานที่ที่ชุมชนชาวกูยให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง หากมีกิจกรรมในหมู่บ้าน หรือศาสนพิธีต่าง ๆ ก็จะมีการนำเครื่องเซ่นไหว้มาบอก
กล่าวที่ปราสาทปรางค์กู่ให้รับทราบ ซึ่งชาวกูยบ้านกู่ได้สมมติชื่อวิญญาณที่สิงสถิต ณ ปราสาทกู่ว่า “ปู่พัทธเสน”วัฒนธรรมชาติพันธุ์และอัตลักษณ์ของชาวกูยคือ ภาษาพูดเฉพาะถิ่น การแต่งกาย วิถีชีวิต ชุดผ้าไหมลายลูกแก้วเฉพาะถิ่น มีปราสาทขอมโบราณ มีงานประเพณีหวัวบุญเบิกฟ้า ขึ้น 3 ค่ำ มหัศจรรย์เดือน 3 ที่โดดเด่นประจำจังหวัดศรีสะเกษ วัฒนธรรมของชาวกูยบ้านกู่ยังมีความสำคัญและมีคุณค่าต่อการดำเนินชีวิตของคนในชุมชนอย่างมาก แหล่งท่องเที่ยวและผลิตภัณฑ์โดยชุมชน นอกจากบ้านกู่จะมี
ศาสนาสถานโบราณแล้ว ยังมีวัฒนธรรมและแหล่งเรียนรู้การทอผ้าไหมลายลูกแก้ว การย้อมสีธรรมชาติ การทำเครื่องจักสานและไม้กวาดต้นตาล การเลี้ยงกบ การทำดอกลำดวนจากรังไหม และการทำขนมไปรกะซังขนมพื้นถิ่นของชาวกูยบ้านกู่ ให้ศึกษาเยี่ยมชมและยังสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ผ้าไหมทอมือลายลูกแก้วย้อมสี