จำนวนผู้เข้าชมวันนี้

วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ททท.ภูมิภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นำคณะสื่อมวลชน มาสัมผัสสถานที่หนึ่งเดียวในโลก"สุสานช้าง"ที่วัดอาเจียง แห่งหมู่บ้านเลี้ยงช้างที่เคยเป็นที่อยู่ของ"ชนเผ่าชาวกูย

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูมิภาคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นำคณะสื่อมวลชนมาสัมผัสกับ"สุสานช้าง"หนึ่งเดียวในโลก ที่วัดอาเจียง หรือ วัดช้าง ของจังหวัดสุรินทร์ ที่มีหลุมฝังศพช้างทรงหมวกโบราณกว้าง 1.5 คูณ 1.5 เมตร100 หลุมทอดยาวอยู่ในป่าละเมาะของวัดอาเจียงหรือ “วัดช้าง” ของหมู่บ้านตาก


ลาง อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์อย่างสงบในท่ามกลางความร้อนนุ่มของฤดู  แม้ว่าในโลกนี้จะมีการเอาศพช้างที่ตายมาฝังใน “ป่าช้า” ที่อยู่ใกล้โรงพยาบาลหรือแหล่งเลี้ยงช้างกันทุกที่ทั้งในอาฟริกาและเอเชียแต่ตาม แต่ก็ไม่มีที่ไหนยกย่อง ทำ “ป่าช้าช้าง” ให้เป็น “สุสานช้าง” แบบเดียวกับ “สุสานคน” เหมือนที่ยคล้องวัดอาเจียง แห่งหมู่บ้านเลี้ยงช้างที่เคยเป็นที่อยู่ของชนเผ่ากูยหรือส่วยที่เคช้างส่งกรุง


ศรีอยุธยามาแต่ในอดีตเลย  จะถือว่าสุสานช้างแห่งนี้เป็น “สุสานช้าง  “แห่งเดียวในโลก” ก็ว่าได้  พระครูสมุหาญ ปัญญาธโร เจ้าอาวาสวัดป่าอาเจียง แห่งบ้านตากลาง อำเภอท่าตูม กล่าวถึงที่มาของสุสานช้างแห่งนี้ว่า “อาตมาทำสุสานให้ช้างมาตั้งแต่ปี 2538 ที่ทำขึ้นก็เพราะว่าฝันถึง “พังคำมูล” ช้างที่เคยผูกพันกับอาตมาสมัยที่อาตมายังเล็กมาร้องไห้ว่า “อยากจะกลับมาอยู่ด้วย” ช้างตัวนั้นถูกพ่อของอาตมาขายให้กับคนแถวชุมพลบุรี (จังหวัดสุรินทร์) และถูกรถชนตายฝังอยู่ที่อำเภอชุมพลบุรีหลายปีแล้ว ด้วยความ


ผูกพันกันมาตั้งแต่เด็ก อาตมาก็เลยซื้อกระดูกพังคำมูลที่เขาฝังเอาไว้คืนในราคา 4,000 บาท จะว่าเป็นเงินค่าซื้อซากคืนเสียทีเดียวก็ไม่เชิง เป็นค่าขุดดีกว่า” ได้กระดูกมาแล้วกะว่าจะทำศาลให้กับพังคำมูล แต่พอชาวบ้านรู้ข่าวก็เลยพากันไปขุดเอากระดูกช้างของพวกเขาที่ฝังอยู่ตามไร่นาบริเวณที่ช้างตายมากองในวัดเพื่อให้ทำบุญสวดอุทิศส่วนกุศลให้ช้างและให้ฝังอยู่ตามป่าละเมาะในวัด เมื่อฝังในป่าช้าในป่าละเมาะได้ประมาณ 40 หลุมในปี 2547-48 นายอำเภอท่าตูมท่านมาเยี่ยม ท่านก็จะไปหาเงินมาทำป่าช้า


ช้างให้ใหม่ ท่านไปขอเงินซีอีโอจังหวัดมาช่วยทำจนเป็น “สุสานช้าง” วัดและญาติโยมช่วยกันต่อยอดกันจนได้ถึง100 หลุมแล้วในวันนี้” ยังมีซากช้างอยู่อีกมากที่รอบรรจุแต่ยังไม่ได้บรรจุ ที่ไม่ยังบรรจุก็เพราะว่าช้างตายกันยังฝังไม่ครบ 5-7 ปี ซากของมันยังไม่เน่าเปื่อยจนเหลือแต่กระดูก ไปขุดเอาลำบากเพราะยังไม่ย่อยสลาย ตายต่างถิ่นแถวพัทยาหรือแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆก็เยอะแยะ หลวงพ่อเล่า เวลาช้าง


ตายเจ้าของเขาก็เอาฝังไว้แถวนั้นเพราะเคลื่อนย้ายลำบาก ได้เวลาชาวบ้นก็ขอให้วัดไปเอาซากช้างคืน อาตมาก็ต้องเสียค่าใช้จ่าย ใช้พระเณรขนอุปกรณ์ขนเสบียงไปให้คนขุดไปเอากลับมาทำบุญ ครั้งหนึ่งๆก็หลายหมื่นบาท เอามาหมดทั้งหัวกะโหลก ทั้งซี่โครง ทั้งขาหน้าขาหลัง ไม่ทิ้งเลยแต่ช้างเด็กๆกระดูกมักจะชำรุดเพราะกระดูกยังอ่อน ส่วนช้างใหญ่บางทีกระดูกก็อาจจะผุพังกันไปบ้าง เจ้าของบางรายก็เอากะโหลกช้างของเขาไป “ขาย” เหมือนกัน ขายให้สถาบันการศึกษาบ้าง วัดบ้าง สถาบันการศึกษาเขาเอา


ไปให้การศึกษากับพวกนิสิต นักศึกษา แต่บางมหาวิทยาลัยก็ขอไปฟรีๆก็มี” ท่านพระครูแห่งวัดป่าอาเจียงกล่าว สำหรับช้างในหมู่บ้านตากลางซึ่งทางราชการทำให้เป็น “หมู่บ้านท่องเที่ยว” ให้นักท่องเที่ยวได้เที่ยวชมวิถีชีวิตช้าง วิถีชีวิตคน เพื่อ “สะกัดกั้น” ไม่ให้เจ้าของช้างนำช้างออกไปเร่ร่อนขอทานในกรุงเทพฯและเมืองท่องเที่ยวอื่นๆในวันนี้มีอยู่ประมาณ 100 กว่าเชือก ท่านเจ้าอาวาสวัดป่าอาเจียงกล่าวว่าในจังหวัดสุรินทร์น่าจะมีรวมกันแล้วถึง 200 เชือก ช้างนั้นต้องกินอาหารช้าง “หลายตัน” ต่อวันแม้ว่า


ทางราชการจะปลูกอาหารช้างให้แล้วก็ตาม แต่อาหารช้างที่ปลูกอยู่ริมน้ำมูลก็ยังมีปริมาณไม่เพียงพอ เจ้าของช้างต้องหาเงินไปหาซื้ออาหารให้ช้างด้วยเงินจำนวนมากๆในแต่ละปี  ช้างที่ตากลางเสียชีวิตลงด้วยความชราบ้าง ไม่สบายบ้าง เกิดอุบัติเหตุรถชนบ้างรวมๆกันแล้วก็ประมาณ 10 เชือกต่อปี” เจ้าอาวาสวัดอาเจียงกล่าว ถึงจะไปตายที่ไหน ไกลขนาดไหน ถ้าเป็นไปได้ก็จะพยายามที่เอาคืนกลับมาให้หมด” ท่านว่า ถามว่าทำไมถึงทำสุสานช้างเป็นรูปทรงหมวกสมัยโบราณ ท่านพระครูสมุหาญท่านตอบว่า ก็เพื่อ


ให้ความร่มเย็นแก่สัตว์ที่ตายให้อยู่ภายใต้ร่มแดด คนทำนาก็ต้องอาศัยร่มเงาจากหมวก นักรบก็ต้องใช้หมวกกันร้อน ช้างเคยมีบุญคุณกับคน พอเขาตายไปแล้วก็ต้องให้ความร่มเย็นแก่เขาด้วย คนในหมู่บ้านตากลางเป็นชาวกูย (ตระกูลเขมร-มอญโบราณตระกูลหนึ่ง) ในอดีตพวกเขาที่มีหน้าที่ส่ง “ส่วย” “ช้าง” ให้กับอยุธยารัตนโกสินทร์ราชธานีไทยเมื่อหลายร้อยปีที่ผ่านมาเพื่อให้ทางราชการเอามาใช้เป็นพาหนะในการเดินทางและทำศึกสงคราม เช่นเดียวกับพวกเขาที่ใช้ช้างเป็นพาหนะและช่วยขนของตามไร่นา


เหมือนคนปัจจุบันที่ใช้รถปิ๊คอัพในการ “ขนคน” “ขนของ” นั่นเอง ในการไปคล้องช้างของชนเผ่าส่วย พวกเขาต้องใช้พ่อมดหมอผีประจำบ้านมาทำพิธีเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษกันก่อนที่ศาลประกำกลางหมู่บ้าน ทั้งนี้เพื่อให้ผีบรรพบุรุษของพวกเขาอวยพรให้พวกเขาคล้องช้างให้ได้มากๆ แม้ว่าวันนี้พิธีดังกล่าวจะค่อยๆเลือนหายไป แต่นักท่องเที่ยวก็ยังสามารถไปดูไปชมศาลประกำกันได้เพราะพวกเขายังรักษาศาลประกำกันเอาไว้เพื่อทำพิธีเช่นไหว้บรรพบุรุษกันในเดือนวันตาเดือนกันยาตุลา วันดับเดือนสิบของทุกๆปี


ในการสร้างรัฐชาติในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระมหากษัตริย์ไทยแต่งตั้งชนชาวพื้นเมืองในแต่ละถิ่นขึ้นมาเป็น “เจ้าเมือง” เพื่อ “การขึ้นต่อ” อำนาจรัฐกรุงเทพทั่วราชอาณาจักรที่เป็นประเทศราช แถบนี้ก็ตั้งคนมีอำนาจในพื้นที่เป็นเจ้าเมืองขุขันธ์ เจ้าเมืองชุมพลบุรี เจ้าเมืองสุรินทร์ โดยพระราชทานบรรดาศักดิ์เพื่อการขึ้นต่อรัฐไทยเช่นกัน แม้ว่าคนพื้นถิ่นจะกลืนกลายมาเป็นคนไทยกันหมด สังคมคลี่คลายขยายตัวตามพัฒนาการของสังคมจนประเพณีดั้งเดิมค่อยๆเลือนหายไป เพราะผู้คนเดินทางไปทำมาหากินตามจังหวัด


ต่างๆ แต่ในแต่ละปีจะมีบรรดาคนเลี้ยงช้างในจังหวัดสุรินทร์ออกไปทำมาหากินตามส่วนต่างๆของประเทศไทย กลับมาไหว้บรรพบุรุษของพวกเขาและพ่อใหญ่คือพระยาสุรินทร์ภักดีกันทุกๆปี อันแสดงถึงความผูกพันและกตัญญูต่อบรรพบุรุษ ไม่ต่างอะไรกับคนจีนที่ต้องไปทำพิธีเช็งเม้งกันในแต่ละปีเลย  สำหรับช้างบ้านในประเทศไทยนอกจากจังหวัดสุรินทร์แล้ว ยังมีช้างบ้านอยู่อีกมากมายในจังหวัดทางด้านทิศตะวันตกของประเทศที่ติดชายแดนประเทศเมียนม่า เช่นตาก แม่ฮ่องสอนกาญจนบุรี ราชบุรี


ประจวบ ชุมพร ระนองภาคกลางตะวันออกก็มีแถวป่ารอยต่อ 5 จังหวัด คาดการณ์กันว่าช้างบ้านทั้งประเทศมีกว่า4,000 ตัวแล้วเพราะมีการให้คุณค่าของช้างมากขึ้น คนเลี้ยงดูแลสุขภาพและให้อาหารดีขึ้น เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิช้างคาดการณ์กันว่าน่าจะมีช้างเกิดใหม่ทั้งประเทศถึง 100 เชือกในช่วงปีที่ผ่านมา และจะลดลงครึ่งหนึ่งเพราะการตั้งท้องของช้างต้องใช้เวลานาน 22-24 เดือนในแต่ละช้างแม่พันธุ์ส่วนช้างป่ากรมอุทยานแม้ว่าจะถูกฆ่า ถูกรถจนตายแต่ก็คาดการณ์กันว่าน่าจะมีถึง3,000ตัว สำหรับท่านใดที่


ต้องการบริจาคเงินเพื่อสมทบทุนในการทำสุสานช้างหรือการเคลื่อนย้ายกระดูกช้างเพื่อเอามาบรรจุในสุสานช้างก็ติดต่อได้ที่พระครูสมุหหาญ ปัญญาธโร หมายเลขโทรศัพท์ 081-760-3761 ส่วนใครที่สนใจจะไปเที่ยวหมู่บ้านช้างก็สอบถามได้ที่ ททท.สำนักงานสุรินทร์ หมายเลขโทรศัพท์044-514447 www.เที่ยวอีสาน.com หรือ call centre 1762
.
มิสเตอร์ที