จำนวนผู้เข้าชมวันนี้

วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (DTI) หรือ สทป. จัดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ "DTI - Defence Industry and Innovation 2019" ณ แรนโช ชาญวีร์ รีสอร์ท แอนด์ คันทรีคลับ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา

สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (DTI) หรือ สทป. จัดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ DTI - Defence Industry and Innovation 2019 ในวันที่ 31 กรกฏาคม – 1 สิงหาคม 2562 ณ แรนโช ชาญวีร์  รีสอร์ท แอนด์ คันทรีคลับ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา โดยมี พลอากาศเอก ดร.ปรีชา ประดับมุข ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เป็นประธานในพิธีเปิด วัตถุประสงค์เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้


ทราบถึงศักยภาพ ในผลงานการวิจัยและพัฒนา ของ สทป. ที่สอดคล้องกับความต้องการของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งในปัจจุบันและอนาคตรวมทั้งเป็นการส่งเสริมการนำผลงานวิจัยไปสู่การผลิตเชิงอุตสาหกรรมและการนำไปใช้งานจริง เพื่อให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีป้องกันประเทศ และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศเพื่อความมั่นคง ในวันที่ 31 กรกฏาคม 2562 ช่วงเช้าเป็นพิธี




เปิดการสัมมนาฯ และแสดงสาธิตศักยภาพผลงานวิจัยและพัฒนาของ สทป. ได้แก่ เทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับ  ที่มีบทบาทสำคัญในการปฏิบัติภารกิจเสริมสร้างขีดความสามารถทางทหาร และการปฏิบัติสาธารณะประโยชน์เพื่อสังคม ด้วยคุณสมบัติเฉพาะที่ออกแบบเพื่อตอบสนองภารกิจ 4 ประเภท คือ




1. ระบบอากาศยานไร้คนขับขนาดเล็กแบบขึ้นลงทางดิ่ง (Multi-Rotor UAS) รุ่น D-Eyes 01
2. ระบบอากาศยานไร้คนขับขนาดเล็ก (Mini UAS) รุ่น D-Eyes 02 เพื่อการขึ้นลงด้วยมือ และมีขนาดเบา
3. ระบบอากาศยานไร้คนขับขนาดเล็ก (Small Tactical UAS) รุ่น D-Eyes 03 ใช้สำหรับยุทธวิธีขนาดเล็ก หรือสำหรับการฝึกใช้งานอากาศยานไร้คนขับก่อนใช้งานขนาดกลาง
4. ระบบอากาศยานไร้คนขับประเภทยุทธวิธีระยะกลาง (Tiger Shark II)
และยังมีการจัดแสดงนิทรรศการหุ่นยนต์เก็บกู้วัตถุระเบิด (EOD Robot) ระบบเครื่องช่วยฝึกรถถัง รุ่น DTI Tank Sim และการประกวดธุรกิจนวัตกรรม UAV START UP 2019 อีกด้วย




ในช่วงบ่าย ได้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือ
1.) พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือร่างหลักสูตรนักบินอากาศยานไร้คนขับ ระหว่าง สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (DTI) และ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT)
2.) พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความเข้าใจในการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศเพื่อความมั่นคงและกิจการพลเรือน (dual use) ระหว่าง สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (DTI) และ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA)




การผนึกกำลังกับทั้ง 2 หน่วยงานในครั้งนี้ เพื่อการบูรณาการการทำงานร่วมกันต่อไปในอนาคตโดย สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (DTI) จะทำหน้าที่ในการดำเนินการจัดตั้งโรงเรียนฝึกอบรมนักบินอากาศยานไร้คนขับ โดยมีสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) เป็นหน่วยงานควบคุมและรับรองมาตรฐานการฝึกอบรมนักบินอากาศยานไร้คนขับ และสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ




(องค์การมหาชน) (NIA) เข้ามาร่วมในการบูรณาการความร่วมมือเพื่อการดำเนินงานพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ เพื่อตอกย้ำถึงความเชี่ยวชาญและเข้มแข็งในการฝึกอบรมนักบินอากาศยานไร้คนขับ ของ DTI ที่เกิดจากความเชี่ยวชาญในการฝึกอบรมให้กับกองทัพ และการวิจัยพัฒนาทางด้านอากาศยานไร้คนขับมาแล้วกว่า 3 รุ่น และจะเป็นหน่วยบูรณาการด้านอากาศยานไร้คนขับ




ของประเทศต่อไป ซึ่งเป็นที่มาของ การเสวนาพิเศษ การเสวนาพิเศษ หัวข้อ “มาตรฐานการบินอากาศยานไร้คนขับ และภัยคุกคามรูปแบบใหม่” โดย พลอากาศเอก ดร.ปรีชา ประดับมุข ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ, นายศรัณย เบ็ญจนิรัตน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย พลอากาศตรี ภาณุ อดทน  ผู้เชี่ยวชาญ สทป. และที่ปรึกษาโครงการวิจัยและพัฒนาองค์ประกอบพื้นฐานของระบบยานไร้คนขับ และนายปิยะ ยอดมณี ผู้เชี่ยวชาญ ด้านการดำเนินการในการ




จัดตั้งหน่วยธุรกิจของ สทป.การเสวนา หัวข้อ “ก้าวต่อไปของภาคเอกชนกับบทบาทการพัฒนาอุตสาหกรรมอากาศยานไร้คนขับของภูมิภาคอาเซียน” โดยตัวแทนภาคเอกชนร่วมเสวนา ได้แก่ ตัวแทน บริษัท ท๊อป เอ็นจิเนียริ่ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด, บริษัท เพาเวอร์ โซลูชั่น เทคโนโลยี จำกัด, บริษัท จีซีเอส กรุ๊ปคอร์ปอเรชั่น จำกัด และ บริษัท เอสบีวันแอนด์ซีนส์โบ อินโนเวชั่น จำกัด โดยเปิดโอกาสให้ท่านผู้เข้าร่วมงานได้ร่วมแลกเปลี่ยนและแสดงความคิดเห็น และในวันที่ 1 สิงหาคม 2562 สรุปผลการสัมมนา




เชิงปฏิบัติการ "DTI - Defence Industry and Innovation 2019"  ซึ่งการจัดงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการ DTI - Defence Industry and Innovation 2019 ในครั้งนี้ จะสอดคล้องกับทิศทางและแนวนโยบายความมั่นคงของโลกในอนาคต เนื่องจากการวิจัยและพัฒนามีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศชาติ และการวิจัยพัฒนาจะนำไปสู่การพึ่งพาเทคโนโลยีของตนเอง จะส่งผลดีต่อความมั่นคงของประเทศอย่างยั่งยืนและนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ได้ เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและแผน


ยุทธศาสตร์ ในการตอบสนองอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ 11 (S-Curve ที่ 11) ได้อย่างเป็นรูปธรรมตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี และเป็นประโยชน์กับอุตสาหกรรมป้องกันประเทศโดยตรงต่อไป